ธาตุเจ้าเรือนคืออะไร
ตามทฤษฎีการแพทย์ไทย กล่าวว่า คนเราเกิดมาในร่างกายประกอบด้วยธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งในแต่ละคนจะมีธาตุหลักเป็นธาตุประจำตัว เรียกว่า "ธาตุเจ้าเรือน" ซึ่งธาตุเจ้าเรือนนี้มี 2 ลักษณะ คือ ธาตุเจ้าเรือนเกิด ซึ่งจะเป็นไปตาม วันเดือนปีเกิด และธาตุเจ้าเรือนปัจจุบัน ที่พิจารณาจาก บุคลิกลักษณะ อุปนิสัยและภาวะด้านสุขภาพ กายและใจ ว่าสอดคล้องกับลักษณะของบุคคลธาตุเจ้าเรือนอะไร ตามทฤษฎีโบราณจะใช้รสชาติของอาหารเป็นยารักษาโรคโดยรสชาติต่างๆ จะมีผลต่อร่างกาย จำเป็นกลอนง่ายๆ ให้ขึ้นใจจากรสยา 9 รส ต่างๆ ตามนี้ฝาดชอบทางสมาน หวานซึบซาบไปตามเนื้อ
เมาเบื่อแก้พิษต่างๆ ขมแก้ทางโลหิตและดี
รสมันบำรุงหัวใจ เค็มซึมซาบตามผิวหนัง
เปรี้ยวแก้ทางเสมหะ เผ็ดร้อนแก้ทางลม
เมื่อธาตุทั้งสี่ในร่างกายสมดุล บุคคลจะไม่ค่อยเจ็บป่วย หากขาดความสมดุลมักจะเกิดความเจ็บป่วยด้วยโรคที่เกิดจากจุดอ่อนด้านสุขภาพของแต่ละคนตามเรือนธาตุที่ขาดความสมดุล ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาความเจ็บป่วยที่อาจเกิดขึ้น สิ่งที่สามารถช่วยได้ระดับหนึ่งในเบื้องต้นคือ พฤติกรรมการบริโภคอาหารของแต่ละคนในชีวิตประจำวัน โดยในรสของอาหารคุณลักษณะที่เป็นยามาปรับสมดุลของร่างกายเพื่อป้องกันความเจ็บป่วย จะได้รู้อย่างไรว่าเป็นคนธาตุอะไร มีจุดอ่อนด้านสุขภาพด้วยโรคอะไร และควรจะรับประทานอาหารอย่างไร ให้ตรงกับธาตุเจ้าเรือนของตน ซึ่งจะมีวิธีการวิเคราะห์ตามวัน เดือน ปีที่เกิด เนื่องด้วยในร่างกายของเราประกอบด้วยธาตุทั้ง 4 ได้แก่
ธาตุดิน ตามคัมภีร์แพทย์แผนไทยนั้น ถือว่า ธาตุดินเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่มั่นคงแข็งแกร่งที่สุดของร่างกาย ชีวิตอยู่ได้ด้วยสิ่งสำคัญพื้นฐานนี้ เป็นตัวยึดเหนี่ยวให้ร่างกายทรงรูปร่างไว้
มีสิ่งสำคัญในการควบคุมสุขภาพอยู่ 3 อย่าง คือ
- หทัยวัตถุ มีที่ตั้งที่หัวใจ ควบคุมความสมบูรณ์ของหัวใจ เช่น ลักษณะ ขนาด การทำงาน การเต้น ความสมบูรณ์ของกล้ามเนื้อหัวใจ บางตำรากล่าวว่าหทัยวัตถุเป็นที่ตั้งของจิต
- อุทริยะ หมายถึง อาหารใหม่ คืออาหารที่รับประทานเข้าไปใหม่ๆ นั่นเอง การซักประวัติการกินอาหารก่อนป่วย มีความจำเป็นมาก เพราะอาหาร คือธาตุภายนอกที่เรานำเข้าไปบำรุง หรือปรับธาตุภายใน เรื่องอาหารจึงสำคัญที่สุด ไม่ว่าจะเป็นแพทย์แผนใด โรคทางแผนโบราณจึงมีเรื่องเกี่ยวกับการกินที่เรียกว่า "กินผิด" คือกินไม่ถูกกับธาตุจะเจ็บป่วย กินไม่ถูกกับโรคทำให้อาการแย่ลง ดังนั้น การแพทย์แผนไทยใช้วิธีการกินสมุนไพร อาหารสมุนไพร มาแก้ไขการเสียสมดุลนี้ เป็นการลองผิดลองถูกมายาวนาน จนสรุปเป็นหลักการและเหตุผล
- กรีสัง หมายถึง อาหารเก่า คือ กากอาหารในลำไส้ใหญ่ที่จะออกมาเป็นอุจจาระนั่นเอง ลักษณะของอุจจาระเป็นตัวบ่งบอกสุขภาพ อุจจาระหยาบ ละเอียด ก้อนแข็งหรือเหลว กลิ่นอุจจาระเป็นเช่นไร เช่น กลิ่นเหมือนปลาเน่าธาตุน้ำเป็นเหตุ กลิ่นเหมือนหญ้าเน่าธาตุไฟเป็นเหตุ กลิ่นเหมือนข้าวบูดธาตุลมเป็นเหตุ กลิ่นเหมือนศพเน่าธาตุดินเป็นเหตุ เป็นต้น โบราณว่าไว้สุขภาพจะดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับกรีสะ (อุจจาระหรืออาหารเก่า) เป็นตัวควบคุม
ธาตุน้ำ เป็นองค์ประกอบที่มีมากที่สุดในร่างกาย ทั้งในเซลล์และนอกเซลล์ น้ำมีความสำคัญทำให้ระบบต่างๆ ของร่างกายทำงานได้ปกติ
มีสิ่งสำคัญในการควบคุมสุขภาพอยู่ 3 อย่าง คือ
- ศอเสมหะ ควบคุมน้ำบริเวณคอขึ้นไปเกี่ยวกับเสมหะ น้ำมูกมีหรือไม่อย่างไร มีมากเวลาใด อาจหมายถึงการทำงานของต่อมต่างๆ ที่ผลิตน้ำเมือก น้ำมูกบริเวณดังกล่าว
- อุระเสมหะ ควบคุมน้ำบริเวณอกเหนือกลาง ตัวจากคอมาถึงบริเวณลิ้นปี่ เหนือสะดือ การซักถามจะต้องถามถึงการไอ เสมหะเป็นอย่างไร การหอบ การอาเจียน น้ำที่ออกมาเป็นอย่างไร การปวดท้องเกี่ยวกับน้ำย่อยในกระเพาะอาจจะหมายถึงการทำงานของต่อมน้ำมูก เมือกในปอด หลอดลม น้ำในกระเพาะอาหาร น้ำดี น้ำย่อยในลำไส้เล็ก
- คูถเสมหะ ควบคุมน้ำช่วงล่างจากสะดือลงไป อาจเป็นน้ำมูกเมือก น้ำในลำไส้ น้ำในอุจจาระ น้ำปัสสาวะ น้ำในมดลูก ช่องคลอด (ถ้าเป็นหญิง) และน้ำอสุจิ (ถ้าเป็นชาย) จึงต้องซักประวัติเกี่ยวกับอาการที่เกี่ยวข้อง เช่น การถ่ายปัสสาวะ อุจจาระ ลักษณะเหลว หรือแข็ง มีน้ำมากน้อยเพียงใด ผิดปกติอย่างไร
ธาตุลม หมายถึงการเคลื่อนไหวทุกชนิด เช่น
- การหายใจ
- การบีบตัวสูบฉีดเลือดของหัวใจ
- การไหลเวียนของเลือด
- การยืดหดตัวของกล้ามเนื้อ
- การเคลื่อนไหวของเซลล์ หรือกระแสสัญญาณของระบบประสาท
- การควบคุมความรู้สึกของอารมณ์ เช่น สดชื่น ตื่นเต้น กลัว กังวล เจ็บ สั่น เกร็ง
มีสิ่งสำคัญในการควบคุมสุขภาพอยู่ 3 อย่าง คือ
- หทัยวาตะ ลมที่ควบคุมอารมณ์ จิตใจ การเต้นของหัวใจ ความหวั่นไหว ความกังวล
- สัตถกะวาตะ ลมที่คมเหมือนอาวุธ หมายถึง เมื่อเกิดอาการจะมีอาการฉับพลัน เจ็บปวดลึกๆ เหมือนดังอาวุธเสียบแทง จากลักษณะดังกล่าวอาการคล้ายกับภาวะขาดเลือด เช่น กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรืออวัยวะใดๆ ขาดเลือดจะมีอาการเจ็บปวดรุนแรง
- สุมนาวาตะ ลมที่ควบคุมพลังที่อยู่เส้นกลางลำตัวตามแนวดิ่ง ในตำราการนวดไทยเส้นสุมนาถูกจัดเป็นเส้นสำคัญในเส้นสิบ เส้นนี้จะวิ่งกลางลำตัวจรดปลายลิ้น จึงน่าจะเป็นตัวควบคุมระบบประสาท การไหลเวียนโลหิต สมอง ไขสันหลัง ระบบอัตโนมัติต่างๆ การซักถามอาการควรถามเกี่ยวกับการทำงานของแขนขา การปวดเจ็บหลัง การชัก การกระตุก ตำราโบราณกล่าวว่าอาการลิ้นกระด้างคางแข็งเกิดจากสุมนา แสดงว่าน่าจะเกี่ยวกับสมอง ประสาท
ธาตุไฟ มีแหล่งกำเนิดในร่างกายมาจากการสันดาป คือ
- การใช้พลังงานต่างๆ (metabolism)
- ไฟน้ำย่อยในระบบย่อยอาหาร
- กระตุ้นให้จอรับภาพของดวงตารับแสง
- การทำงานของเซลล์สมอง ให้ปรากฏเป็นความชาญฉลาด
มีสิ่งสำคัญในการควบคุมสุขภาพอยู่ 3 อย่าง คือ
- พัทธปิตตะ คือดีในฝัก บางท่านอาจสับสนว่าน้ำดีคือธาตุน้ำ เหตุใดจึงจัดเป็นไฟ เข้าใจว่าพัทธปิตตะในที่นี้ คือการควบคุมการทำงานของน้ำดี และการย่อยสลายจากการทำงานของน้ำดี ส่วนน้ำดีจัดเป็นธาตุน้ำ อาการบ่งบอกการทำงานที่ผิดปกติไป จึงน่าจะหมายถึงการปวดท้อง น้ำดีอุดตัน ภาวะการผลิตน้ำดีของตับผิดปกติ ตับอักเสบ เกิดอาการตัวเหลือง ตาเหลือง เกิดน้ำดีอักเสบเป็นนิ่ว เป็นต้น เป็นเรื่องที่ควบคุมการทำงานของธาตุน้ำเป็นอาการบ่งบอกถึงการทำงานที่ผิดปกติไป จึงน่าจะหมายถึงการปวดท้อง น้ำดีอุดตัน เป็นเรื่องที่ควบคุมการทำงานของน้ำดีในตับ และถุงน้ำดีที่เรียกว่าในฝักนั่นเอง
- อพัทธะปิตตะ ดีนอกฝัก หมายถึง การทำงานของน้ำดีในลำไส้ การย่อยอาหาร อาการคือจุกเสียด อืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ดีนอกฝักพิการ จะทำให้เหลืองทั้งตัว ดีในฝักพิการจะมีอาการคุ้มคลั่งเหมือนผีเข้า ถ่ายเป็นสีเขียว
- กำเดา องค์แห่งความร้อน เป็นตัวควบคุมความร้อนในร่างกาย น่าจะหมายถึงศูนย์ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายนั่นเอง การตรวจสามารถดูที่อาการไข้ว่าตัวร้อนจัดหรือไม่เพียงใด
อาหารประจำธาตุเจ้าเรือน
ธาตุดิน ควรรับประทานอาหารรสฝาด หวาน มัน เค็ม ได้แก่
- รสฝาด ยอดจิก ยอดมะม่วงหิมพานต์ ผลมะตูมอ่อน มะเดื่ออุทุมพร ยอดฝรั่ง ผักกระโดน ยอดเสม็ด หัวปลี กล้วยดิบ มังคุด ฝรั่งดิบ
- หวาน น้ำนม น้ำอ้อย เห็ด บุก ผักหวานป่า หน่อไม้ ผลฟักข้าว ดอกลีลาว เต่ารั้ง ผักขี้หูด กะหล่ำปลี
- มัน สะตอ เนียง บัวบก ขนุนอ่อน ถั่วพู ฟักทอง กระถิน ยอดผักติ้ว ชะอม เผือก มัน ถั่วต่างๆ
- เค็ม เกลือ
ธาตุน้ำ ควรรับประทานอาหารรสเปรี้ยว รสขม ได้แก่ มะกรูด มะนาว ส้ม สับปะรด มะเขือเทศ ส้มโอ ส้มเขียวหวาน ยอดมะขามอ่อน ยอดชะมวง มะดัน
ธาตุลม ควรรับประทานอาหารรสเผ็ดร้อน ได้แก่ ขิง ข่า ตะไคร้ กระชาย พริกไทย โหระพา กะเพรา กระเทียม ขึ้นฉ่าย ยี่หร่า ฯลฯ
ธาตุไฟ ควรรับประทานอาหารรสขม เย็น จืด ได้แก่
- รสขม ฝักเพกา มะระขี้นก ยอดหวาย ดอก-ใบ ขี้เหล็ก ใบยอ สะเดา ผักโขม มะเขือ ยอดมะรุม เป็นต้น
- เย็น จืด ผักบุ้ง ผักกะเฉด ตำลึง แตงโม หัวผักกาด ฟักเขียว แตงกวา คะน้า บวบ มะเขือ ฯลฯ
จะเห็นได้ว่าอาหารที่เรารับประทานเข้าไปนั้นมีความสำคัญมาก คือถ้าทานถูกกับธาตุของตนก็ถือว่าเป็นโอสถทิพย์สามารถเยียวยารักษาชีวิตให้ดำรงคงอยู่ได้ยาวนาน ถ้าทานผิดก็จะเป็นยาพิษทำร้ายทำลายชีวิตตัวเอง
ตามทฤษีการแพทย์แผนไทย
กำหนดว่าผู้สูงอายุ คือ 32 ปีขึ้นไป
เหตุผลการแบ่ง เพื่อการดูแลตนเองด้วยความไม่ประมาทด้วยการเลือกอาหารที่มีประโยชน์ อาหารที่ถูกกับธาตุเจ้าเรือน การออกกำลังกาย การฝึกจิตใจ หลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นภัยกับร่างกายทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
การดำเนินวิถีชีวิตตามหลักธรรมานามัยเป็นหัวใจหลักในการสร้างเสริมสุขภาพ ได้แก่ กายานามัย จิตตานามัย ชีวิตตานามัย
กายานามัย ทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงจากการรับประทานอาหารตามธาตุเจ้าเรือน เน้นกินปลาเป็นหลัก กินผักเป็นพื้น กินผลไม้ไทยที่ออกตามฤดูกาล การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วยท่าฤๅษีดัดตน
จิตตานามัย หมั่นฝึกจิตใจให้สงบ ฝึกสมาธิ ไม่คิดเบียดเบียนผู้อื่น ยิ้มด้วยความจริงใจ สมาธิคือยารักษาโรคได้ คนที่สามารถฝึกสมาธิอยู่อย่างสม่ำเสมอจะเป็นคนที่อิ่มเอิบด้วยความสุข
ชีวิตตานามัย การดำเนินชีวิตชอบ ด้วยทางสายกลาง มีอาชีพสุจริต นอกจากนี้ยังรวมถึงการทำชีวิตให้อยู่ในธรรมชาติชอบ คือ การปรับธาตุ 4 ภายนอก สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีงาม
ยึดตามแนวทฤษฎี
การเจ็บป่วยไม่ได้แยกเป็นผู้ป่วยทางศัลยกรรมหรืออายุรกรรม แต่กลับมองว่า สาเหตุการเกิดโรคหรือการเจ็บป่วยเกิดจากอิทธิพลดังต่อไปนี้
1. มูลเหตุธาตุทั้ง 4 (ธาตุสมุฏฐาน)
2. อิทธิพลของฤดูกาล (อุตุสมุฏฐาน)
3. อายุที่เปลี่ยนไปสามวัย (อายุสมุฏฐาน)
4. ถิ่นที่อยู่อาศัย (ประเทศสมุฏฐาน)
5. อิทธิพลของกาลเวลาและสุริยจักรวาล (กาลสมุฏฐาน)
6. พฤติกรรมที่เป็นมูลเหตุก่อโรค ซึ่งมี 8 ประการ
การดูแลสุขภาพด้วยการแพทย์แผนไทย แบบองค์รวม เน้นการดูแลทั้งกาย จิต สังคม และสิ่งแวดล้อม ทั้งป่วยและไม่ป่วย
การสร้างเสริมสุขภาพ คือกระบวนการสร้างสมรรถนะเพื่อให้มีสุขภาพที่ดี แพทย์แผนไทยไม่ได้แยกการสร้างเสริมสุขภาพกับการรักษาออกจากกันแต่ทำไปพร้อมกัน
การสร้างเสริมสุขภาพเริ่มที่ตัวเรา เริ่มได้เลยไม่ต้องรอให้แก่ ไม่ต้องรอให้ป่วย เพื่อให้เรามีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง
**แก่อย่างสง่า ตายอย่างสงบ**
** ไม่เจ็บป่วยด้วยโรคที่ป้องกันได้**
และปิดท้ายด้วยบทพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สมุนไพร ไทยนี้ มีค่ามาก
พระเจ้าอยู่หัว ทรงฝาก ให้รักษา
แต่ปู่ย่า ตายาย ใช้กันมา
ควรลูกหลาน รู้รักษา ใช้สืบไป