ทานอะไรเมื่อฟื้นไข้
มีคำกล่าวที่ติดปากคนไทยมาแต่ไหนแต่ไรว่า "ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ" หรือพูดเป็นภาษาบาลีว่า "อโรคยา ปรมาอาภา"แต่ในชีวิตจริงคงหาคนที่มีลาภอันประเสริฐ ไม่เจ็บไม่ไข้ชั่วนาตาปีได้ยากยิ่ง บางคนถึงกับพูดแบบทีเล่นทีจริงว่า ขอแค่เจ็ดวันดีปีละสี่วันไข้ก็น่าจะเป็นลาภพอประมาณแล้ว
พูดถึงเรื่องไข้ เชื่อว่าหลายคนคงเคยสังเกตว่า เวลาเป็นไข้เรามักรู้สึกเบื่ออาหารไม่อยากกินอะไร ยิ่งของมันๆ ด้วยแล้ว แค่เห็นก็เกิดอาการผะอืดผะอมขึ้นมาติดหมัดแล้ว
เจ้าอาการเบื่ออาหารที่ว่านี้ ศาสตร์แห่งสุขภาพบางสายวัฒนธรรมอธิบายว่า เกิดจากการเสียสมดุลของระบบย่อยอาหาร พูดง่ายๆ คือระบบย่อยอาหารชักจะไม่ค่อยยอมทำงานตามปกติที่เคยเป็น
ถ้าเรียกเป็นไทยๆ หน่อยก็เรียกว่าไฟธาตุพร่องหรือไฟธาตุหย่อน
ถ้ามองในอีกแง่หนึ่งก็พูดกันว่าเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายที่ต้องการพักผ่อน ซึ่งหมายรวมถึงระบบย่อยอาหารด้วย คือคล้ายๆ กับกระเพาะลำไส้ของเราก็ต้องการพักเหมือนกัน ไม่อยากจะรับอะไรเข้าไปอีก เลยทำให้ไม่รู้สึกอยากกินอะไร
บางคนอาจคิดว่าเมื่อร่างกายเจ็บไข้ไม่สบายและอ่อนเพลียยิ่งต้องบำรุงกันหน่อย แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่าการกินข้าวในช่วงที่กำลังมีไข้นั้นจะฝืดคอมาก ลิ้นแทบจะไม่รู้รสอาหารเลย ต่อให้เป็นอาหารจานโปรดสุดๆ ที่เคยกินก็ตามเถอะ
ถามว่าแล้วควรทำอย่างไร
คำตอบที่อาจจะฟังดูกำปั้นทุบดินสักหน่อยก็คือ ในเมื่อไม่หิว ในเมื่อไม่รู้สึกอยากกิน ก็ไม่ต้องกินสิ
การรักษาไข้ตามวิถีธรรมชาติหลายสายมีข้อปฏิบัติตรงกันว่า ควรเริ่มจากการอดอาหารเพื่อให้ระบบย่อยอาหารได้พัก รวมทั้งได้เผาผลาญและดูดซึมสารอาหารที่อยู่ในระบบร่างกาย
ต่อเมื่อร่างกายเริ่มฟื้นจากไข้แล้ว จึงค่อยเริ่มกินอาหารอีกครั้ง วิธีที่ดีที่สุดคือสังเกตจากปฏิกิริยาของร่างกายว่า ชักจะเริ่มหิวแล้ว
แต่ก็อีกนั่นแหละ พอรู้สึกหิวแล้วไม่ใช่ว่าจะไปฟาดข้าวขาหมู ข้าวมันไก่ทอด หรือข้าวเหนียวทุเรียนให้สมอยากทันที ถ้าทำอย่างนั้นรับรองว่าไข้กลับแน่
อาหารมื้อแรกที่เหมาะที่สุดสำหรับคนเพิ่งฟื้นไข้ก็คือน้ำข้าวต้ม เพราะมีคุณค่าจากข้าวซึ่งถือว่าเป็นสุดยอดแห่งอาหารจากผืนแผ่นดิน ที่ทำเป็นข้าวต้มก็เพื่อให้ย่อยง่ายนั่นเอง ประเภทกินปุ๊บ ร่างกายก็ดูดซึมไปเลี้ยง ไปซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอไป ในช่วงที่มีไข้ได้รวดเร็ว
ไม่ต้องให้เปลืองไฟธาตุที่ต้องใช้ในการย่อย ซึ่งช่วงฟื้นไข้ไฟธาตุก็ยังไม่คืนสภาพปกติอยู่แล้ว
หลังจากมื้อแรกแล้ว ไฟธาตุจะค่อยๆ เข้าที่ ทีนี้เขาแนะนำให้ตามด้วยข้าวต้ม โดยเริ่มจากข้าวต้มมีน้ำมากกว่าเมล็ดข้าว พอมื้อต่อๆ ไปก็ค่อยเพิ่มปริมาณข้าวลงไป แล้วค่อยเป็นข้าวสวยในที่สุดเมื่อระบบย่อยอาหารทำงานเป็นปกติดีแล้ว
การค่อยๆ กินข้าวโดยเริ่มจากน้ำข้าวล้วนๆ แล้วค่อยเพิ่มปริมาณเมล็ดข้าวเข้าไป เท่ากับเป็นการกินอาหารตามสภาพของร่างกายที่ค่อยๆ เริ่มฟื้นตัว เรียกว่าเป็นการกินให้เป็นหนึ่งเดียวกับตัวเรา
ขณะเดียวกันก็เป็นการช่วยให้ระบบย่อยอาหารค่อยๆ ปรับตัวไปด้วย
ระหว่างที่อยู่ในช่วงฟื้นไข้ร่างกายยังไม่หายเป็นปกติดีจะกินน้ำต้มผัก น้ำต้มกระดูกด้วยก็ได้
อาหารบำรุงหลังฟื้นไข้ที่ดีมากอีกอย่างหนึ่งก็คือ ถั่วเขียวต้มให้เละๆ จะเรียกว่าซุปถั่วเขียวก็คงใกล้เคียงอยู่ คือเอาถั่วเขียวมาแช่น้ำสักสิบห้านาที แล้วล้างให้สะอาดอีกสักเที่ยวสองเที่ยว จากนั้นใส่น้ำให้มากๆ ต้มเคี่ยวนานๆ ด้วยไฟอ่อนๆ จนถั่วเขียวเปื่อยยุ่ย
ประมาณว่าไม่เหลือสภาพของความเป็นเมล็ดถั่วเขียวเลยยิ่งดี เพราะจะยิ่งย่อยง่ายขึ้น
ถ้าจะเติมน้ำตาลทรายแดงให้พอหวาน เอ้า! แถมขิงไปอีกหน่อย ทีนี้คุณก็จะได้ซุปถั่วเขียวหวานอร่อยเจือด้วยรสเผ็ดร้อนของขิง ทั้งเรียกเหงื่อ ทั้งบำรุงร่างกาย และที่สำคัญบำรุงไฟธาตุด้วย
พอเริ่มหายจากไข้ดีแล้ว และรู้สึกว่าร่างกายต้องการอาหาร อยากจะแนะนำอีกตำรับหนึ่งที่ทั้งบำรุงร่างกายและรสชาติอร่อย แม้ไม่ถึงกับขนาดขึ้นเหลา แต่ก็เด็กกินได้ ผู้ใหญ่กินดี
เอาข้าวกล้องไปปั่นให้หยาบๆ ๑ ส่วน เติมน้ำ ๑๖ ส่วน แล้วใส่นมอีก ๔ ส่วน ต้มด้วยไฟอ่อนถึงปานกลาง จนข้าวสุกดี(จะเละเหมือนโจ๊ก) แล้วเอาเมล็ดกระวานมาตำให้แหลกใส่ลงไปพอประมาณ เติมลูกเกดสีดำหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วต้มให้เดือดอีกสักพัก และเติมน้ำตาลพอหวาน
สูตรนี้เป็นสูตรของอินเดีย แต่ตอนนี้ผ่านการชิมโดยสมาชิกมูลนิธิสุขภาพไทยหลายปากเมื่อครั้งที่เสวนาเรื่องข้าวกล้อง ถือว่าสอบผ่านได้หลายคนบอกว่าจะเอาไปทำกินที่บ้านบ้าง
ใครจะไปดัดแปลงสูตรให้พลิกแพลงได้มากกว่านี้ก็ไม่ว่ากัน เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่กระเพาะเริ่มเรียกร้องอยากทำงานแล้ว ขืนปรุงอาหารไม่ถูกใจ เดี๋ยวร่างกายประท้วงหยุดงานกันอีก พาให้ไข้กลับมาอีกจะยุ่งกันใหญ่