จามจุรี ไม่ได้มีแค่ความสวย
จามจุรี นอกจากมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า ก้ามปู แล้ว บางคนเรียกว่า จามจุรีแดง, ฉำฉา หรือ ก้ามกราม ก็มี ส่วนชื่อเรียกในภาษาอังกฤษคือ Rain Tree จามจุรีเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ มีความสูงเฉลี่ยราว 15 ม. เป็นไม้ใหญ่มีกิ่งก้านสาขาแตกออกเป็นทรงพุ่มกว้างครึ่งวงกลมอย่างสวยงาม ซึ่งต้นที่มีอายุมากๆอาจมีความกว้างของพุ่มได้ถึง 25 ม.
ลักษณะของลำต้นเป็นเปลือกหนาสีน้ำตาลแก่แตกออกเป็นแผ่นๆ ดอกมีเส้นผ่าศูนย์กลางราว 5 ซม. ด้านนอกเป็นสีชมพูเข้ม ส่วนด้านในเป็นสีขาว จะออกดอกให้ชื่นชมกันตลอดทั้งปี แต่จะงามสะพรั่งสุดๆในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม
ถิ่นกำเนิดของจามจุรีเป็นไม้เมืองร้อนพันธุ์แท้ของประเทศบราซิล ทางทวีปอเมริกาใต้ แต่ถูกนำมาปลูกและขยายพันธุ์เป็นครั้งแรกในเมืองไทยเมื่อร้อยกว่าปีก่อนในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อปี พ.ศ. 2443 โดยนายเสลด (Mr. H. Slades) เจ้ากรมป่าไม้คนแรกของสยาม เป็นผู้นำมาปลูกไว้ที่ริมถนนเจริญประเทศในจังหวัดเชียงใหม่ จากนั้นพระยารัษฎานุประดิษฐ์ (คอซิมบี้ ณ ระนอง) ก็นำไปปลูกที่จังหวัดกระบี่ด้วยในปีเดียวกัน
ประโยชน์ของจามจุรีนี้ นอกจากจะถูกนำมาทำเป็นโต๊ะ เก้าอี้ ที่มีลวดลายสวยงามน่าใช้ แถมมีราคาถูกแล้ว เนื้อในของฝักที่มีน้ำเชื่อมหวานเจี๊ยบห่อหุ้มเมล็ดไว้ก็ใช้สำหรับเลี้ยงสัตว์จำพวกเคี้ยวเอื้องได้ ชาวเหนือและอีสานนิยมปลูกไว้สำหรับเลี้ยงตัวครั่ง นอกจากนี้ต้นจามจุรียังให้ทั้งความสดชื่นและร่มเงากับมนุษย์เราอีกด้วย
ในส่วนของคุณค่าทางสมุนไพรนั้น ใบของจามจุรีมีรสเย็นใช้ดับพิษร้อนทั้งหลายทั้งปวง ส่วนเปลือก ลำต้นมีรสฝาด ใช้สมานแผลในปาก แก้เหงือกบวม แก้ปวดฟันก็ได้ แถมยังช่วยห้ามอาการเลือดตกใน แก้ท้องร่วง รักษาอาการริดสีดวงทวารได้อีกต่างหาก ที่เด็ดสุดก็คือ เมล็ด ซึ่งมีรสฝาดเมานั้นใช้รักษาโรคผิวหนังกลากเกลื้อนได้ชะงัดนัก